เกมชิงผู้นำตลาดโน้ตบุ๊กเดือด อัสซุสผงาดจากเบอร์ 3 ขึ้นเบอร์ 2 ครองมาร์เก็ตแชร์ 13% เชื่อศึกนี้เข้มข้นแน่นอน วางกลยุทธ์ขยายโมเดิร์นเทรด นำสินค้าใหม่เจาะตลาดล่าง-ต่างจังหวัด

ด้านเอชพี สู้ยิบตาเร่งสร้างความมั่นใจ พร้อมเสริมทัพชิงส่วนแบ่งตลาดคืน
นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าการแข่งขันของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พกพา หรือ โน้ตบุ๊กจะมีความเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน โดยรายงานล่าสุดจากไอดีซีเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมาระบุว่าบริษัทสามารถก้าวขึ้นมามีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ในตลาดโน้ตบุ๊ก จากเดิมอันดับ 3 โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 13% คิดเป็นยอดขายประมาณ 83,000 เครื่อง ทั้งนี้มองว่าเป็นผลมาจากที่บริษัทสามารถกระจายสินค้าออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ลูกค้าเริ่มเปิดรับแบรนด์มากขึ้น ขณะที่คู่แข่งที่เคยอยู่อันดับ 2 ส่วนแบ่งตลาดลดลงไปอยู่อันดับ 3
"เชื่อว่าคู่แข่งจะพยายามกลับมาช่วงชิงพื้นที่เดิม ซึ่งจะทำให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตามการแข่งขันในตลาดนั้นขึ้นอยู่กับความครบวงจรในการทำตลาด ทั้งส่วนหลังบ้านและหน้าบ้าน อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำเข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค, ความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อแบรนด์ในระยะยาว,ผลตอบแทนกับตัวแทนจำหน่าย รวมถึงการบริการ"
นายพรเทพ กล่าวอีกว่าบริษัทคงมุ่งรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 โดยพยายามขยายฐานลูกค้าเข้าไปยังตลาดโมเดิร์นเทรด โดยจัดทีมเข้าไปดูแลตลาดโมเดิร์นเทรดมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 10% เป็น 20% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งท้ายสุดจะมีสัดส่วนเท่าตลาดรวม ที่มียอดขายผ่านโมเดิร์นเทรด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาคู่ค้าให้สามารถให้บริการหลังการขายกับลูกค้า ได้ ซึ่งทำให้สามารถให้บริการซ่อมกับลูกค้าได้ภายใน 5 วันทำการ จากเดิมคู่ค้าเป็นเพียงจุดพักสินค้าเพื่อส่งเข้ามาซ่อมในกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาให้บริการมากกว่า 1 สัปดาห์
ขณะเดียวกันยังได้นำโน้ตบุ๊กรุ่น เอ็กซ์ 44 ราคาเริ่มต้นประมาณ 11,900 บาท เข้ามาขยายตลาดล่าง โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัดและเพิ่มช่องทางการขายสู่ระดับอำเภอและตำบล ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดให้มากขึ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีตลาดต่างจังหวัดมีตัวเลขการขายดีมาก โดยตัวเลขเพิ่งมาลดลงในช่วงน้ำท่วม แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติยอดขายจะกลับมาเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังได้ขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กรมากขึ้น โดยจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าองค์กรเข้ามาสู่ตลาดประมาณเดือนตุลาคมนี้ เช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ในเดือนพฤศจิกายน จะมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ อัลตร้าบุ๊ก ที่มีความบางเบาเข้ามาทำตลาด ซึ่งในระยะแรกเชื่อว่าตลาดยังไม่โต เนื่องจากข้อจำกัดราคาที่คาดว่าจะอยู่ราว 30,000 บาท แต่ราคาเฉลี่ยที่ลูกค้าต้องการอยู่ที่ 18,000 บาท นอกจากอัลตร้าบุ๊ก ยังไม่มีอุปกรณ์ออพติคัลไดรฟ์ ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับการใช้งานอุปกรณ์ออพติคัลไดรฟ์ อยู่
ด้านนายมอนตี้ หว่อง ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ หรือพีเอสจี บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าขณะนี้ยังคงเดินหน้าทำตลาดพีซี และโน้ตบุ๊กในไทยต่อไป แม้บริษัทแม่จะอยู่ในช่วงการวิเคราะห์ทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มพีเอสจี ส่วนทิศทางจะไปทางไหนนั้นต้องรอผลการตัดสินใจขั้นสุดท้ายช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าแนวทางที่เลือกจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น หลังจากนั้นจะใช้เวลาในการดำเนินการตามกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 12-18 เดือน
"แนวการดำเนินงานหลักในช่วงนี้คือการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้า,คู่ค้าและ กลุ่มองค์กร เกิดความเข้าและมั่นใจในแนวทางธุรกิจที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขณะนี้ยอดการสั่งซื้อสินค้าก็เป็นไปตามปกติ ขณะเดียวกันบริษัทยืนยันจะให้การรับประกันสินค้าตามปกติ ขณะที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ยังคงมีต่อเนื่อง"
นายมอนตี้ หว่อง กล่าวอีกว่าเอชพียังคงเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลก ส่วนในไทยไตรมาส 3 ที่ผ่านมามียอดขายเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน โดยคอมพิวเตอร์สำหรับลูกค้าองค์กร ยังมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 สามารถขายได้ในโครงการขนาดใหญ่ทั้งเอกชนและภาครัฐ ส่วนตลาดคอนซูเมอร์ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาประสบปัญหาชิ้นส่วน ทำให้ไม่มีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตามในไตรมาส 3 เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ซึ่งจะมีสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกลับมา ขณะที่ในไตรมาส 4 มีอัลตร้าบุ๊ก โน้ตบุ๊กรุ่นบางเบาออกสู่ตลาด
ทั้งนี้แม้แท็บเลตและสมาร์ทโฟนจะเติบโตขึ้นสูง แต่โน้ตบุ๊กก็ยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20-25% ซึ่งในส่วนเอชพีตั้งเป้าการเติบโตเป็นเท่าตัวของตลาด