เอชพีขอ เวลาสิ้นปีฟันธงทิศทางธุรกิจ รุกโหมแคมเปญทั่วโลกย้ำความเชื่อมั่นลูกค้า ยันยังปิดดีลเอกชน-ราชการ-คอนซูเมอร์ต่อเนื่อง ชูเป้าหมายตลาดยังเน้นพีซี เมินกระแสฮิตแทบเล็ต ประกาศหยุด "เว็บโอเอส" ชี้เป็นแค่ฟอร์ม แฟคเตอร์ใหม่

นาย มอนตี้ หว่อง ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ชันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจพีซีของบริษัทจะต้องรอผลการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจากบริษัทแม่ ซึ่งจะมีคำตอบชัดเจนในช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากนั้นราว 12-18 เดือนจึงจะมีการอิมพลีเมนท์ให้เป็นไปตามนโบาย

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน แนวทางที่คาดว่าจะเป็นไปได้คือ การแยกธุรกิจพีซีออกเป็นอีกบริษัทหนึ่ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจ เนื่องจากสภาพการแข่งขันในตลาดพีซียังคงรุนแรงเป็นปกติ แม้จะมีสินค้ากลุ่มใหม่ เช่น แทบเล็ต และสมาร์ทโฟนเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ใช้ แต่ยอดการขายพีซีก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายหว่องระบุพร้อมยกผลสำรวจจากบริษัทวิจัยไอดีซีว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาธุรกิจีพีซีของเอชพีใน ไทยครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 และยังมีส่วนแบ่งอันดับ 1 ในตลาดโลกติดต่อกัน 14ไตรมาส ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังคงเชื่อมั่นกับสินค้าของเอชพี

"ฟีด แบ็กจากพันธมิตรของเราทั่วโลกยังคงโพสิทีฟมากกับแนวคิดที่เราจะแยกพีซีออกไป เพราะเป็นแนวทางที่จะตอบโจทย์ความคล่องตัวในการทำธุรกิจ ส่วนกลุ่มลูกค้าของเรา หลังจากมีแนวคิดนี้เราก็มีทีมออกไปพูดคุยและสื่อสารกับลูกค้าหลักๆ และสแตรทิจิค พาร์ทเนอร์ ว่าเรากำลังทำอะไร และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ" นายหว่องกล่าว

ขณะที่ในระหว่างที่ยังรอความชัดเจนของนโนบายบริษัทได้เริ่มทำแคมเปญ "เอชพี แอสชัวแรน (HP Assurance)" ทั่วโลก โดยใช้งบโฆษณาเพื่อชี้แจงกับลูกค้า, ผู้ถือหุ้น และพันธมิตรทั่วโลก ว่าบริษัทคงเดินหน้าลงทุนกับธุรกิจพีซี และยังมีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งโน้ตบุ๊ค และเดสก์ทอปภายใต้คอนเซปท์บางเบา ในเร็วๆนี้

พร้อมกันนี้นายหว่องได้เผยว่า บริษัทได้ประกาศหยุดการพัฒนาเว็บ โอเอส ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับแทบเล็ตที่เอชพีเพิ่ง ซื้อกิจการมาจากบริษัทปาล์ม เนื่องจากบริษัทเชื่อว่า แทบเล็ตยังเป็นเพียงฟอร์ม แฟคเตอร์หนึ่งเท่านั้น แต่ตลาดหลักยังคงเป็นสินค้าพีซี ซึ่งมียอดขายเป็นส่วนใหญ่ในตลาด หรือหลักล้านเครื่อง ขณะที่แทบเล็ตในไทยยังมียอดขายเพียงหลักแสนเครื่องเท่านั้น

นอกจากนี้ในกลุ่มดีลเลอร์ที่เป็นพันธมิตรด้านการขายให้กับเอชพีก็ยังคงเชื่อมั่นกับการทำตลาดแบรนด์เอชพี โดยดูจากการชนะดีลในโครงการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ทั้งภาครัฐ และเอกชนที่บริษัทยังได้รับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

"อุตสาหกรรมพีซีเป็นตลาดที่แข่งขันรุนแรงเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเอชพีก็ ยังคงเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับของตลาด และเราก็พยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างส่วนแบ่งตลาด และการทำกำไร โดยเรายังยืนว่าพีซีเป็นธุรกิจที่มีกำไรดีอยู่ โดยเฉพาะยอดขายในไทยที่เป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" นายหว่องกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มพีเอสจีทำรายได้เป็น 1 ใน 3 ของบริษัทเอชพี หรือมีรายได้ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ จากรายได้รวมทั้งบริษัท 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี