นายพอล โอเทลลินิ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของอินเทล แถลงในช่วงเปิดงานอินเทล ดิเวลลอปเปอร์ ฟอรัม (ไอดีเอฟ) ณ เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ว่า ระบบประมวลผลมีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา พร้อมอธิบายถึงโอกาสและความท้าทายต่างๆ ที่รออินเทลกับอุตสาหกรรมไอทีอยู่ข้างหน้าว่า “ความ ต้องการด้านประสิทธิภาพของการประมวลผลอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปจนถึงระบบคลาวด์ ที่เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั้น คือโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมไอที ซึ่งอินเทลได้ ทำงานร่วมกับเหล่าพันธมิตรเพื่อนำเสนอรูปแบบการประมวลผลที่เหมาะสมกับการใช้ อุปกรณ์โมบาย มีความปลอดภัยและใช้งานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

"ผมรู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ได้หลากหลายชนิดนี้มาก และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของเราเท่านั้น
พร้อมอธิบายถึงโอกาสและความท้าทายต่างๆ ที่รออินเทลกับอุตสาหกรรมไอทีอยู่ข้างหน้าว่า “ความ ต้องการด้านประสิทธิภาพของการประมวลผลอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปจนถึงระบบคลาวด์ ที่เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั้น คือโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมไอที ซึ่งอินเทลได้ ทำงานร่วมกับเหล่าพันธมิตรเพื่อนำเสนอรูปแบบการประมวลผลที่เหมาะสมกับการใช้ อุปกรณ์โมบาย มีความปลอดภัยและใช้งานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

"ผมรู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ได้หลากหลายชนิดนี้มาก และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของเราเท่านั้น

เมื่อกล่าวถึงเป้าหมายขององค์กรซึ่งสำคัญต่อการเติบโตทางธุรกิจของอินเทลใน ตลาดอุปกรณ์ประมวลผล โอเทลลินิได้พูดคุยถึงความพยายามล่าสุดของบริษัทในการรุกเข้าสู่ธุรกิจ สมาร์ทโฟน โดยได้สาธิตให้เห็นถึงดีไซน์หลักของอุปกรณ์ที่ใช้อินเทล

อะตอม โปรเซสเซอร์ และทำงานบนแพลตฟอร์มของแอนดรอยด์

โอเทลลิ นิ ยังได้แนะนำ "แอนดี้ รูบิน" รองประธานอาวุโสกลุ่มโมบายของกูเกิล โดยผู้บริหารทั้งสองได้อธิบายถึงแผนการที่จะใช้ประโยชน์จากการเปิดตัวของแพ ลตฟอร์มแอนดรอยด์ อย่างเต็มที่สำหรับชิพอินเทล ตระกูลอะตอม โปรเซสเซอร์ รุ่นกินไฟต่ำ การร่วมมือที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีขึ้นเพื่อเร่งให้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีอินเทลและทำงานบนแพลตฟอร์มของแอนดรอยด์สามารถออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว

“ความ ร่วมมือระหว่างเรากับกูเกิลจะทำให้ตลาดมีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อมทั้งสมรรถนะ และคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ซึ่งช่วยให้อุตสาหกรรมของเรามีนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ปรับปรุงใหม่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ทางเลือกให้ตลาดมากขึ้น ผมรู้สึกตื่นเต้นกับความร่วมมือของเราที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะจะทำให้ลูกค้าของเราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ใหม่ๆ สำหรับผู้บริโภคออกสู่ตลาด ด้วยพลังสมรรถนะที่ผสานกันระหว่างเทคโนโลยีอินเทลและแพลตฟอร์มแอนดรอยด์” โอเทลลินิ กล่าว

โอเทลลินิคาดการณ์ว่า อัลตร้าบุ๊คจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีรูปแบบการประมวลผลที่สมบูรณ์แบบและผู้บริโภครู้สึกพึงพอใจสูงสุด โดยขณะนี้ อินเทลได้ ร่วมงานกับพันธมิตรต่างๆ ในอุตสาหกรรมไอที เพื่อนำอัลตร้าบุ๊ค ซึ่งมีน้ำหนักและขนาดที่บางและเบากว่าเดิม ออกจำหน่ายในราคาตลาดได้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้เป็นต้นไป

"วิศวกรของอินเทลได้เตรียมสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่สำหรับอัลตร้าบุ๊ค รุ่นถัดไป ด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 22 นาโนเมตร ที่ใช้ชื่อว่า

“ไอวี่ บริดจ์” (Ivy Bridge) ในราวต้นปีหน้า ควบคู่กับการนำทรานซิสเตอร์ 3 มิติ แบบไตร-เกท ของอินเทลเข้ามาในระบบการผลิตด้วย"

นอกจากนี้ โอเทลลินิ ยังได้เน้นย้ำถึงการทำงานที่เกื้อหนุนกัน ระหว่างอินเทลและ ไมโครซอฟท์ พร้อมทั้งระบุว่า ในอนาคตวินโดว์ส 8 จะปรากฏโฉมอยู่บนอุปกรณ์ต่างๆ ทั้ง แท็บเล็ต อุปกรณ์ไฮบริด และอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ อย่างเช่น อัลตร้าบุ๊ค อีกด้วย

การพัฒนาระบบจัดการพลังงานสำหรับแพลตฟอร์มแบบใหม่ เพื่อใช้กับชิพ

“แฮสเวลล์” ใน ปี 2556 สำหรับอัลตร้าบุ๊ค เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่โอเทลลินิเปิดเผยในงานไอดีเอฟครั้งนี้ โดยเขาคาดว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีซิลิกอนและงานวิศวกรรมแพลตฟอร์มจะช่วย ให้สามารถลดการใช้พลังงานได้มากกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันถึงกว่า 20 เท่าในช่วงที่เครื่องเปิดไว้แต่ไม่ได้ใช้งาน โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลลดลง

โอเทลลินิคาดว่า ผลงานการออกแบบใหม่ชิ้นนี้ เมื่อผนวกกับความร่วมมือที่ได้รับจากอุตสาหกรรม จะทำให้แบตเตอรี่สามารถสแตนด์บายการใช้งานได้นานกว่า 10 วันภายในปี 2556 ความก้าวหน้าดังกล่าวจะเข้ามารองรับการทำงานของอัลตร้าบุ๊ค เพื่อให้ระบบประมวลผลสามารถใช้งานและเชื่อมต่อได้ตลอดเวลา แม้ขณะที่อุปกรณ์อยู่ในโหมดสแตนด์บาย เพื่อรับทราบข้อมูลที่อัพเดทล่าสุดจากอีเมล ข่าวสารผ่านเครือข่ายทางสังคม และดิจิทัลคอนเทนท์ต่างๆ เมื่อกลับมาใช้งาน

เมื่อมองไปในอนาคต โอเทลลินิคาดว่า นวัตกรรมของระบบจัดการพลังงานรุ่นใหม่จะพัฒนาไปไกลจนถึงระดับที่เราไม่อาจ จินตนาการได้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ นักวิจัยของอินเทลได้คิดค้นชิพที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์ขนาดเล็กเท่าแสตมป์มาใช้ได้ ซึ่งอินเทลเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า

“Near Threshold Voltage Core” โดย การค้นพบนี้จะขยายขีดความสามารถของเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ให้สูงขึ้น เพื่อปรับระดับการใช้พลังงานให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ เมื่อใช้งาน

งานไอดีเอฟปีนี้ "แคนเดซ วอร์ลีย์" รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของ Endpoint Security ของบริษัทแมคอาฟี ได้ร่วมบรรยายบนเวทีกับโอเทลลินี โดยอธิบายว่า อินเทลและแมคอาฟี ได้ร่วมงานกันพัฒนาฮาร์ดแวร์ใหม่ที่จะเสริมระบบการรักษาความปลอดภัยของซอฟต์แวร์

ผู้บริหารทั้งสองยังย้ำว่า การลงทุนและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านระบบรักษาความปลอดภัย เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการต่อไป เพราะคาดว่าในอนาคตการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมต่อถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านชิ้นเลยทีเดียว

วอร์ลีย์ ยังได้กล่าวถึงเทคโนโลยีแพลตฟอร์มรุ่นใหม่ของแมคอาฟีที่ชื่อ DeepSAFE ว่าเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกับคุณสมบัติต่างๆ ของฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ในอินเทล คอร์

โปรเซสเซอร์ ทั้งสามรุ่น คือ i3, i5 และ i7 โดยที่เทคโนโลยี DeepSAFE จะช่วยให้การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการปฏิบัติงานภายใต้ระบบปฏิบัติการอีกด้วย เทคโนโลยีนี้จะได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้ผลิตภัณฑ์รักษาความ ปลอดภัยระดับเอ็นเตอร์ไพรซ์ของแมคอาฟีภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนี้ โอเทลลินิ ยังประกาศว่า อินเทลจะ ทำงานร่วมกับแมคอาฟีในด้านโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมระบบประมวลผล อย่างรอบด้าน นับตั้งแต่อุปกรณ์เอ็มเบดเด็ดไปจนถึงระบบคลาวด์

ขณะที่ระบบประมวลผลยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โอเทลลินิเน้นย้ำถึงความจำเป็นของรูปแบบการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องทำงานร่วมกันได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คล่องตัวและราบรื่น และการที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริงได้ อินเทลจึง ได้พัฒนาคุณสมบัติต่างๆ สำหรับอุปกรณ์หลากหลายชนิด ซึ่งรวมถึงอัลตร้าบุ๊คและคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้ในลักษณะออลอินวัน โดยโอเทลลินิ ได้สาธิตภายในงานถึงคุณสมบัติใหม่ๆ เหล่านี้ ซึ่งจะมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเอเซอร์ เลอโนโว และโตชิบา ที่เตรียมเปิดตัวในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้ด้วย