ผู้ค้าไอที เชื่อค่าแรง 300 บาท -เงินเดือนนักศึกษาจบใหม่ 15,000 บาท กดดันเอกชนลงทุนไอที เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ระบุ "คลาวด์คอมพิวติ้ง" เทคโนโลยีดาวเด่น ตอบโจทย์ความต้องการธุรกิจ ช่วยองค์กรขนาดกลางและเล็กใช้เทคโนโลยีระดับโลกต่อสู้องค์กรใหญ่
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็มเฟค เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่านโยบายปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ของรัฐบาลที่ประกาศหาเสียงไว้ก่อนการเลือกตั้งนั้นจะเป็นโอกาสของอุตสาหกรรม ด้านไอซีทีของไทย ทั้งนี้มองว่าจะเป็นแรงกดดันให้องค์กรจะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้าง ให้ธุรกิจมีความฉลาดมากขึ้น โดยขณะนี้หมดยุคของการกดค่าจ้างแรงงานให้ต่ำอีกต่อไป ซึ่งองค์กรจะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแรงงาน ที่มีอยู่ ลดต้นทุน และสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจ
"ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น 30% นั้นอย่างน้อยแรงงานจะต้องมีทักษะและสร้างองค์กรมีความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มขึ้น 30% ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือ อาทิ มาใช้ในการจัดการบริหารงาน หรือ เอาไอทีมาใช้ในการเทรนนิ่งพนักงาน หรือจัดตารางการอบรมพนักงาน รวมถึงการบริหารจัดการการขนส่ง และวัตถุดิบ น่าจะเป็นประโยชน์กับองค์กร"
โดยมองว่าเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทสำคัญสำหรับองค์กรขณะนี้ คือ คลาวด์คอมพิวติ้ง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยที่ผ่านมาองค์กรขนาดกลางและเล็ก มีข้อจำกัดในการลงทุนเทคโนโลยี มีปัญหาด้านการสรรหาบุคลากรไอที อีกทั้งเทคโนโลยียังมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นการมีผู้ให้บริการคลาวด์ ทั้งในส่วนของการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานไอที หรือ ทางด้านซอฟต์แวร์แอพพลิเคชัน จะช่วยให้เอสเอ็มอี ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านไอทีสูง และสามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีระดับโลก เพื่อแข่งขันกับองค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้มองว่าองค์กรจะมีการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อวัดผล หรือประสิทธิภาพการทำงาน
นายอรรถพล สาธิตคณิตกุล ผู้จัดการฝ่ายงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าผลกระทบจากนโยบายค่าแรง 300 บาท ของรัฐบาลใหม่นั้นไอดีซี คงมองภาพเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของอุตสาหกรรมไอที ซึ่งมองว่าไม่น่าส่งผลกระทบ เนื่องจากที่ผ่านมาบุคลากรด้านไอที มีอัตราค่าแรงหรือ ค่าจ้าง สูงกว่าวันละ 300 บาท หรือ เดือนละ 15,000 บาท อยู่แล้ว ซึ่งประเมินว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะส่งผลกับอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้แรง งานเป็นหลัก โดยมองว่าจะมีการปรับตัวโดยมีการลงทุนส่วนของฮาร์ดแวร์ที่มีความทันสมัย อาทิ ระบบหุ่นยนต์ มาใช้ทดแทนแรงงาน ในระยะเวลา 3-6 เดือน