"เอ็กซ์ทรีม พลัส" ชี้เทรนด์ตลาดจอภาพอินเทอร์แอคทีฟมาแรง เผยคว้าดีลใหญ่ทั้งรัฐ-เอกชน ดันรายได้โตก้าวกระโดดทะลุ 100%

นายอนันท์ ตรีสิริเกษม ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท เอ็กซ์ทรีม พลัส จำกัด ผู้พัฒนาดิสเพลย์ อินเทอร์แอคทีฟ สัญชาติไทย กล่าวว่า แนวโน้มการเติบของตลาดโฆษณาที่ใช้จอภาพแบบอินเทอร์แอคทีฟ หรือผู้รับสารสามารถโต้ตอบกับตัวชิ้นงานได้ในแบบดิสเพลย์ อินเทอร์แอคทีฟ กำลังได้รับความนิยมสูงมากในไทย

ทั้งนี้ประเมินจากการตอบรับของบริษัท ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา แต่มีลูกค้าใหม่เฉลี่ยปีละกว่า 10 ราย และมียอดขายก้าวกระโดดมากกว่า 100% ทุกปี โดยมีลูกค้าที่สนใจใช้บริการจากหลายหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ทั้งรัฐ และเอกชน เช่น เอสซีจี, พิพิธภัณฑ์, ดิจิทัล เกตเวย์ และสวนสนุกดิจิทัลซูที่เชียงใหม่ไนท์ ซาฟารีที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และเตรียมเปิดตัวในช่วงเดือน ต.ค.นี้

"ตลาดดิสเพลย์ อินเทอร์แอคทีฟ เป็นตลาดใหม่ที่กำลังมาแรง เพราะสามารถผสมผสานกับเทคโนโลยีต่างๆที่ทำให้การแสดงผลงานน่าสนใจมากขึ้น เช่น ระบบอินเทอร์แอคทีฟ, 3ดี แมพปิ้ง และระบบโฮโลแกรม ประกอบกับในไทยยังไม่ค่อยมีผู้เล่น ขณะที่เทคโนโลยีของต่างประเทศก็ยังเจาะเข้าตลาดไทยไม่ได้ เพราะเมื่อเทียบต้นทุนแล้วทคโนโลยีของเราคุณภาพเท่ากัน แต่ได้เปรียบด้านค่าแรงที่ต่ำกว่ามาก" นายอนันท์กล่าว

พร้อมเผยว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนจะเริ่มทำตลาดแบบแมส จากที่ผ่านมาจะเน้นการพัฒนาและวิจัยชิ้นงานให้กับลูกค้าเป็นรายๆไป เพื่อตอบสนองโจทย์งานที่แตกต่างกัน แต่แนวโน้มเทคโนโลยีเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มการศึกษา ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับการเรียนการสอน ได้

นายอนันท์ระบุว่า บริษัทจะเริ่มพัฒนา "โฮโลแกรม อินเทอร์แอคทีฟ" ที่ผสมผสานเทคโนโลยีการฉายภาพแบบโฮโลแกรม 3 มิติที่ทำให้บทเรียนน่าสนใจมากขึ้น โดยจะพัฒนาเป็นแพคเกจสำหรับให้แต่ละโรงเรียนใช้งานได้สะดวกขึ้น และปัจจุบันได้เริ่มนำร่องทำเป็นอินเทอร์แอคทีฟ 3ดี โฮโลแกรม คีออสติดตั้งที่โรงเรียนเซนต์ฟรัง ซีสซาเวียร์ คอนแวนต์แล้ว

นางทวิพรรณ ตรีสิริเกษม กรรมการผู้จัดการบริษัทเดียวกัน เสริมว่า สำหรับค่าติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับโจทย์งาน, ระบบ, ฮาร์ดแวร์ และคอนเทนท์ที่ใช้ เช่น วอลล์ อินเทอร์แอคทีฟ ที่สามารถเช่าใช้ได้ในราคา 5 หมื่นบาทขึ้นไป รวมทั้งมีโมเดลที่วิจัยและพัฒนาให้กับลูกค้าแบบขายขาด

อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้บริษัทเริ่มรับบุคลากรมากขึ้น โดยเฉพาะนักวิจัยและพัฒนา, ทีมเซอร์วิส และทีมทำคอนเทนท์เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด รวมทั้งลงทุนงบสำหรับการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมราว 20% ของยอดขายต่อปี

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าทำรายได้มากกว่า 50 ล้านบาทในปีนี้ จากครึ่งปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้แล้ว 50 ล้าน

บาท