ออ ราเคิลให้ความสำคัญคลาวด์คอมพิวติ้งเน้นการบริการเป็นระบบ การลดต้นทุนให้กับบริษัท การประหยัดการใช้ทรัพยากร และการสำรวจความคิดเห็นของหลายองค์กรที่หันมาให้ความสำคัญกับคลาวด์คอม พิวติ้ง

อัลเบิร์ต เทย์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ Fusion Middleware บริษัทออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจัยที่คลาวด์คอมพิวติ้งจะเข้าไปช่วยในด้านธุรกิจคือการลดต้นทุนในด้านไอ ที การพัฒนาความเร็วในด้านซอฟต์แวร์ ออราเคิลได้นำคลาวด์คอมพิวติ้งเข้ามาใช้ งาน โดยมีลูกค้าที่ประสบความสำเร็จจากการใช้งานเทคโนโลยีนี้หลายพันราย ตัวอย่างเช่น บริการคลาวด์ของออราเคิลช่วยให้ Oracle University ลดการใช้ฮาร์ดแวร์เหลือเพียงหนึ่งในสิบ ด้วยอัตราการใช้ซีพียูจาก 7% เป็น 73% และจัดสรรสภาพแวดล้อม 2,300 ระบบในแต่ละสัปดาห์ นอกจากนี้ Oracle University ยังสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 40%

อีกกรณีหนึ่งคือตัวอย่างธนาคาร Credit Suisse ได้สร้าง Java Platform-as-a-Service โดยใช้ Oracle WebLogic พร้อมทั้งผนวกรวมโปรแกรมแอพพลิเคชั่นมากกว่า 200 โปรแกรมไว้บนแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 35% และลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ 85% ยังหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 44% ขณะที่กำลังความสามารถในการประมวลผลเพิ่มขึ้น 2 เท่า

ปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเลือกใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งมี 4 ประเภท คือ1.ธุรกิจที่มีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ และที่ต้องเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์อยู่ตลอด 2. การจัดการด้านต้นทุนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ให้มีราคาถูก 3.การวางแผนล่วงหน้าในการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งอย่างน้อย 5 ปี และ 4. การเกิดธุรกิจใหม่

อีก ด้านหนึ่งที่จะตามมาหลังจากมีการเลือกใช้คลาวด์คอมพิวติ้งคือ ด้านการบริการ ทางออราเคิลมีความเข้าใจในด้านการบริการให้มีต้นทุนลดลง ความเข้าใจในด้านการทำงานของระบบที่มีความต้องการรวดเร็วมากขึ้น การรวมระบบให้มีการใช้งานครบทุกด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล และผู้ใช้งานมีความสะดวกสบายไม่ต้องมาทำความเข้าใจในส่วนของระบบที่มีความ ซับซ้อนมากนัก

โดย องค์กรต่างๆ ตระหนักว่าดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเองประกอบด้วยระบบมากมายที่แยกออกจากกัน โดยแต่ละแอพพลิเคชั่นทำงานบนมิดเดิลแวร์ ฐานข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ และสตอเรจที่แยกต่างหาก และแต่ละระบบก็มีทรัพยากรสำรองอย่างเหลือเฟือเพื่อรองรับการใช้งานสูงสุด ทั้งยังมีลักษณะแตกต่างหลากหลาย จึงมีความซับซ้อนสูง และต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการบริหารจัดการ

สำหรับองค์กรต่างๆ ที่มีการดำเนินงานพัฒนาต่อยอดสู่ระบบคลาวด์ส่วนตัวหรือไพรเวทคลาวด์ (Private Cloud) ที่รองรับการบริการตนเอง (Self-server) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประหยัดค่าใช้จ่ายเหมือนกับระบบคลาวด์สาธารณะ หรือพับลิคคลาวด์ (Public Cloud) แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า และให้ความมั่นใจสูงกว่าในเรื่องของเสถียรภาพและความปลอดภัย

แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นจากองค์กรขนาดใหญ่ และผลการสำรวจความคิดเห็นที่ดำเนินการโดยบริษัทวิเคราะห์ชั้นนำชี้ว่า กว่า 40% ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถามราว 1,000 แห่ง มีแผนที่จะปรับใช้ระบบไพรเวทคลาวด์บางประเภทในช่วง 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า และผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดสำหรับผู้จัดการ บุคลากรฝ่ายไอที และฝ่ายข้อมูลในกลุ่มผู้ใช้งานออราเคิล พบว่า การสร้างระบบไพรเวทคลาวด์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายๆบริษัท และโดยมากแล้วจะมีการปรับใช้ในระบบพับบลิคคลาวด์มากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทยังเชื่อว่าระบบพับลิคคลาวด์จะยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และจะก่อให้เกิดระบบที่มีการผสมผสานกันระหว่างไพรเวทคลาวด์และพับลิคคลาวด์ หรือที่เรียกว่า ระบบคลาวด์แบบผสม หรือ “ไฮบริดคลาวด์”(Hybrid Cloud) ซึ่งจะรันแอพพลิเคชั่นเดียว แต่ได้รับการจัดการในลักษณะที่รวมเข้าด้วยกันผ่านมุมมองเดียวกัน

ปัจจุบันในหลายองค์กรที่มีปัญหาในด้านการจัดการกับเมนเฟรมที่มีขนาดใหญ่ และที่มีการรองรับได้ไม่มากนักในปัจจุบัน และการใช้งานไอทีที่มากขึ้นถึง 80% ความจำกัดในการใช้งานแอพพลิเคชั่นใหม่ๆบนเมนเฟรมไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทางบริษัทออราเคิลมองเห็นความสำคัญและได้ผลิตเครื่อง “Exalogic” ที่สามารถตอบโจทย์หลายองค์กรโดยภายใน 1 เครื่องนี้มีการนำซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้งาน