เอชพีแยกธุรกิจพีซีมุ่งซอฟต์แวร์ เลิกตลาดแทบเล็ต-สมาร์ทโฟน

"เอชพี" เผยเล็งแยกธุรกิจพีซี พร้อมสวนกระแสยุติทำตลาดแทบเล็ต-สมาร์ทโฟน หลังเผชิญวิกฤติรุมเร้า เตรียมควบ "ออโตโนมี่ คอร์ป" บริษัทซอฟต์แวร์องค์กร หวังปรับโฟกัสเน้นหนักธุรกิจทำรายได้ดีกว่าตลาดคอนซูเมอร์

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า บริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด หรือเอชพี ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุดของโลก มีแผนแยกธุรกิจพีซี หลังเผชิญสถานการณ์ตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจคอมพิวเตอร์ ที่เคยมีประวัติศาสตร์เติบโตมายาวนาน เปลี่ยนการเติบโตไปสู่กลุ่มธุรกิจซอฟต์แร์ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งเอชพียังคงล้มเหลวในการรับมือกับการแข่งขันดังกล่าว

เอชพี เผยว่า คณะกรรมการบริหารของบริษัทกำลังประเมินทางเลือกสำหรับธุรกิจพีซี รวมถึงแนวคิดที่จะ "แยกธุรกิจพีซีทั้งหมดหรือบางส่วน" ออกจากบริษัท และยุติความพยายามที่จะทำตลาดแทบเล็ต และสมาร์ทโฟน เพื่อแข่งกับตลาดไอแพด และไอโฟนของแอ๊ปเปิ้ล

ทั้งมี กระแสข่าวว่า เอชพีตัดสิน ใจซื้อธุรกิจบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติอังกฤษ "ออโตโนมี่ คอร์ป" เป็นมูลค่าสูงถึง 10.25 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท เพื่อขยับไปสู่ธุรกิจด้านการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับองค์กรที่สร้างกำไรได้ มากกว่า

อย่างไรก็ตาม เอชพีเริ่ม เผชิญวิกฤตินับตั้งแต่ อดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทถูกปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อปีที่ผ่านมาด้วยเหตุผลด้านจริยธรรม และเป็นจุดที่ทำให้เอชพีเริ่ม ประสบปัญหาตกต่ำลงต่อเนื่อง จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของบอร์ดบริหาร และผู้บริหารระดับสูงไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่ไม่เป็นไปตามเป้า

"นายลีโอ อะโพเธคเกอร์" ประธานคณะผู้บริหารคนปัจจุบันของเอชพี เคยให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า การทำธุรกิจกับคอนซูเมอร์ เช่น ตลาดพีซี ทำให้เอชพีมี ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก แต่การให้ข่าวครั้งล่าสุดของนายอะโพเธคเกอร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมากลับ ระบุว่า "บริษัทจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น" และการจะทำเช่นนั้นได้ "บริษัทจะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ"

โดยคณะผู้บริหารเอชพี ยังได้ข้อสรุปใหม่ด้วยว่า "การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจสินค้าคอนซูเมอร์นั้น บริษัทต้องลงทุนมหาศาล และเชื่อว่าบริษัทสามารถลงทุนได้ในตลาดที่ดีกว่า" โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตลาดองค์กร พร้อมกับยกตัวอย่างดีลที่บริษัทกำลังสนใจอย่างการเข้าซื้อกิจการของบริษัทออ โตโนมี

อย่างไรก็ตาม หากเอชพีไม่มีธุรกิจพีซี เอชพีก็จะยังเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะที่แผนกพีซีก็เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของเอชพีในไตรมาสที่ผ่านมา มีรายได้ 9.59 พันล้านดอลลาร์ ส่วนแผนกบริการด้านเทคโนโลยีมีสัดส่วนรายได้ 9.1 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้เอชพียัง เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครือข่าย และระบบดาต้า สตอเรจ ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง รวมถึงเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ที่ได้รับการยอมรับในตลาดแถวหน้าเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แผนการปรับโครงสร้างครั้งนี้เอชพี ระบุว่า ต้องใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างราว 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับการยุติการทำตลาดแทบเล็ต และสมาร์ทโฟน รวมถึงการเข้าไปซื้อธุรกิจระบบปฏิบัติการ สำหรับอุปกรณ์ดังกล่าวจาก "ปาล์ม อิงค์" มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์