"ศุภ จี" ซีอีโอใหม่ "ไทยคม" ฟิตปั๋ง ดันขยับโครงสร้างองค์กร และปรับโมเดลธุรกิจ "ดีทีวี" เพิ่มโฟกัสธุรกิจดาวเทียม เดินหน้ากระตุ้นตลาดเพิ่มการใช้แบนด์วิดท์-เร่งเซ็นสัญญากับคู่ค้าในจีน ทั้งเล็งทบทวนแผนการลงทุนธุรกิจมือถือในลาวและกัมพูชา หลังโดนคู่แข่งทุ่มตลาดอย่างหนัก


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีเป้าหมายผลักดันไทยคมให้เป็นบริษัทที่คนไทยทุกคน ภาคภูมิใจในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี และผู้บริหารดาวเทียมหนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นสมบัติของชาติ รวมถึงเป็นบริษัทไทยที่นำธุรกิจต่างชาติ เข้ามา สร้างรายได้ให้ประเทศ เนื่องจากปัจจุบันรายได้กว่าครึ่งของบริษัทมาจากต่างประเทศ

"ไทยคม เป็นบริษัทมหาชนที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 60% เราไม่ได้อิงการเมืองพรรคใดหรือสีใดทำธุรกิจด้วยเหตุผล และความถูกต้อง ที่ผ่านมาส่งรายได้คืนรัฐมากกว่าที่การันตีขั้นต่ำในสัมปทาน ฉะนั้นไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน เราก็พร้อมทำงานด้วยทั้งหมด กับรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ไม่ได้ทำให้ไทยคมได้เปรียบ หรือเสียเปรียบมากขึ้น"

สำหรับ เป้าหมายระยะสั้นภายในสิ้นปี ตนตั้งใจจะทำให้งบการเงินของบริษัทมีกำไรให้ได้ โดยกระตุ้นตลาดให้มีการใช้งานมากขึ้น ทั้งเร่งเซ็นสัญญากับคู่ค้าในจีน รวมถึงกระตุ้นให้ลูกค้าเก่าใช้แบนด์วิดท์มากขึ้นด้วย เช่น กระตุ้นให้มีการใช้เทคโนโลยี HDTV ในการเผยแพร่คอนเทนต์ ซึ่งจะทำให้มีการใช้แบนด์วิดท์มากขึ้น 3 เท่า รวมถึงการจัดแคมเปญกระตุ้นการใช้งานในแต่ละประเทศ ตลอดจนจะมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจมากขึ้น

นอก จากนี้ ยังกำลังพิจารณาโมเดลธุรกิจของบริษัทในเครือ "ดีทีวี" โดยเพิ่มบทบาทมากกว่าการเป็นผู้ขายจานดาวเทียม "ดีทีวี" แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจให้บริการคอนเทนต์ด้วยหรือไม่ เพราะอยากโฟกัสที่ธุรกิจดาวเทียมเป็นธุรกิจหลักก่อน ที่ผ่านมาดีทีวีเป็นผู้ช่วยทำตลาดจานดาวเทียมเพื่อเพิ่มจำนวนการใช้แบนด์ วิดท์

นางศุภจีกล่าวต่อว่า ธุรกิจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศลาวและกัมพูชาได้รับผลกระทบจากการ ทุ่มตลาดอย่างหนักของ "เวียดเทล" คู่แข่งสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว จึงต้อง มีการทบทวนแผนการลงทุนในทั้ง 2 บริษัทนี้อีกครั้งว่าจะมีการปรับเปลี่ยน หรือปรับปรุงอย่างไรได้บ้าง แต่ในเบื้องต้นคงเน้นการสร้างความต้องการใช้โทรศัพท์มือถือให้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ดาต้า แต่ก็เป็นไปได้ที่จะถอนการลงทุน หากมีนักลงทุนสนใจซื้อในราคาที่ดี

"แม้เป้าหมายที่วางไว้จะเป็น เรื่องยาก แต่เชื่อว่าต้องทำได้ ใน 3 ปี เชื่อว่าจะทำให้ไทยคมเป็นบริษัทที่คนไทยภาคภูมิใจได้ เคลียร์ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทำได้แล้ว ความท้าทายจะหมด ยังมีความท้าทายใหม่ ๆ สร้างขึ้นมาได้อีก"

สำหรับ ความคืบหน้าในการยิงดาวเทียมไทยคม 6 ซีอีโอคนใหม่ กล่าวว่า หลังได้รับอนุมัติจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ให้ดำเนินการได้ ขณะนี้ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลาที่วางไว้ โดยจะพร้อมยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรกลางปี 2556 ส่วนเงินลงทุน 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเบื้องต้นคาดว่า 20% จะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท อีก 80% เป็นเงินกู้

กรณีการรักษาสิทธิในตำแหน่งดาวเทียมที่ 120 องศาตะวันออก ซึ่งไทยกำลังจะเสียสิทธิในเดือน ม.ค. 2555 และตำแหน่ง 50.5 องศา ในเดือน ต.ค.นั้น จากการหารือเบื้องต้นมี 2 แนวทาง คือเจรจากับดาวเทียมต่างชาติที่อยู่ในวงโคจรใกล้เคียง หรือเจรจากับบริษัทอื่นที่กำลังจะยิงดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจร เพื่อนำดาวเทียมมาวางไว้ในตำแหน่งดังกล่าวไว้ก่อน

โดยกระทรวงไอซีทีต้องตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางใด คาดว่าภายใน ก.ย.นี้จะได้ข้อสรุป

"ไทย คมช่วยประสานงานให้โดยไม่ได้มีเงื่อนไขใด ๆ ไม่ได้พูดถึงว่าใครจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ หรือใครเป็นผู้บริหารดาวเทียมในตำแหน่งดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นดาวเทียมที่อยู่นอกเหนือสัมปทานแล้ว กระทรวงไอซีทีจะให้ใครดูแลก็ได้ แต่การโอเปอเรตดาวเทียม ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ทำได้ง่าย ๆ เรื่องการต่ออายุสัมปทานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับไอซีทีจะมองว่า อะไรคือผลประโยชน์หลัก"

ส่วนผลประกอบการของไทยคมในไตรมาส 2 ปี 2554 มีรายได้จากการขายและบริการ 1,862 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 292 ล้านบาท เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า จากการขายอุปกรณ์ผู้ใช้ปลายทางไอพีสตาร์ และผลประกอบการไอพีสตาร์ รวมถึงดาวเทียมไทยคม 5 ที่ดีขึ้น

แยกเป็น รายได้จากไอพีสตาร์ 862 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.1% ธุรกิจโทรศัพท์ในกัมพูชาและลาว 274 ล้านบาท ลดลง 14.6% ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อ 127 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6%

สำหรับ สัญญาที่ได้เซ็นไปแล้วคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 ได้แก่บริษัท ไอพีสตาร์ ออสเตรเลียพีทีวาย จำกัด เพื่อสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ สัญญา 5 ปี มูลค่า 100 ล้านเหรียญออสเตรเลีย การลงนามกับบริษัท เมียแซท บรอดแบนด์ (อินเตอร์เนชั่นแนล) ในการเป็นผู้ให้บริการหลักไอพีสตาร์ในมาเลเซีย เป็นเวลา 10 ปี