ตัวแทนจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติอังกฤษ เผยไทยยังเป็นฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค ส่งผลดีธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัว

นายสุธี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อาร์เอส คอมโพเน็นส์ ตัวแทนจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากอังกฤษ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมโรงงานในไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย 4 เดือนแรกที่ผ่านมา ธุรกิจที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ส่งเสริมยังเติบโตได้ถึง 50% แม้แง่มูลค่าเพิ่มขึ้น 31% ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ไทยยังเป็นฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค

ข้อมูลจากบีโอไอ ระบุว่า ปัจจุบันมีโรงงานที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าในไทย 1.2 แสนแห่ง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะปรับปรุงระบบการผลิตเป็นแบบอัตโนมัติเพื่อลดต้น ทุน และการจ้างแรงงาน

นอกจากนี้รายงานจากฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนยังพบว่า มูลค่าตลาดออโตเมชั่นและคอนโทรลในไทยปี 2552 เพียงแห่งเดียวยังสูงถึง 128.3 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยได้ 7.4% ต่อปีต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสการขยายฐานลูกค้าที่สำคัญ จากปัจจุบันอาร์เอสฯ แข็งแกร่งในหมวดอุตสาหกรรมดังกล่าวและมีลูกค้าโรงงานในไทยแล้ว 3 พันราย เช่น กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภค/บริโภค รวมถึงการแปรรูปอาหาร

เขาระบุว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนขยายสำนักงาน และเพิ่มจำนวนบุคลากรจาก 30 คนเป็น 40 คน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และการเจาะลูกค้าใหม่ รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพของคอลล์ เซ็นเตอร์ให้ได้ตามมาตรฐานธุรกิจอังกฤษมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็เพิ่มจำนวนสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากปัจจุบันมีให้ เลือกมากกว่า 5.5 แสนรายการ จากซัพพลายเออร์ 2,500 แบรนด์ทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้ 95% เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในตลาด เช่น ชไนเดอร์ และซีเมนส์

อย่างไรก็ตาม บริษัทเน้นการขายตรงให้ลูกค้าผ่านเว็บไซต์ สั่งซื้อสินค้าทางโทรสาร และโทรศัพท์ รวมทั้งมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 100 รายเพื่อช่วยกระจายสินค้าให้แก่ลูกค้ากลุ่มโรงงาน โดยสัดส่วนการขายผ่านเว็บราว 50% และสั่งซื้อในระบบเดิมอีกราว 50%

"ธุรกิจเราไม่ค่อยมีคู่แข่ง เพราะเน้นสมอลล์ โวลุ่ม ซื้อชิ้นสองชิ้นเราก็ส่ง ซึ่งจะต่างกับบริษัทซัพพลายเออร์ หรือเจ้าของสินค้าโดยตรงที่จะเน้นไฮ โวลุ่มมากกว่า และเราก็เป็นดิสทริบิวเตอร์ให้แบรนด์ต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งซื้อขายกันมาหลายปี"

พร้อมกับเผยว่า เป็นไปได้ที่อาจจะตั้งคลังสินค้าในไทยจากปัจจุบันจะสั่งตรงจากศูนย์กลางคลัง สินค้าในสิงคโปร์ เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของตลาดสูง

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องจากปี 2553 ที่มีรายได้เติบโตขึ้น 35%