นายแจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญสำหรับตลาดไอทีปีหน้า (2555) คือ แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะต้องมีงบกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ส่วนปัจจัยภายนอกที่ยังต้องจับตาคือ สภาพเศรษฐกิจในสหรัฐ และตลาดยุโรปที่กำลังชะลอตัว ซึ่งไม่ได้กระทบกับตลาดไทยโดยตรง แต่อาจมีผลบางส่วน แต่บริษัทก็คาดว่าสถานการณ์ตลาดไอทีไทยจะเริ่มกลับสู่สภาวะปกติในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า

อย่างไรก็ตามสำหรับผลจากน้ำท่วมในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับรายได้โดยตรงต่อเออาร์ไอพี เนื่องจากไม่สามารถจัดงานคอมมาร์ตที่ เป็นงานไอทีขนาดใหญ่ในช่วงไตรมาส 4 ได้ ทำให้รายได้บริษัทถดถอยลง 80% ในไตรมาสดังกล่าว และยังส่งผลต่อรายได้รวมทั้งปีของบริษัทติดลบ 20% โดยมีรายได้จนถึงเดือน ก.ย. 213 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 287 ล้านบาท

"โดยรวมของตลาดไอทีไตรมาส 4 หลายบริษัทถูกน้ำท่วมทำให้ความรู้สึกที่อยากจะซื้อของน้อยลง โดยการเติบโตของตลาดค้าปลีกลดลงเกือบ 30% ในเดือน ก.ย. แต่เดือน ธ.ค.ตลาดก็เริ่มกลับมา แต่ปัญหาที่สองที่ตามมา และส่งผลเสียระยะยาวคือ โรงงานฮาร์ดดิสก์ที่มีฐานผลิตใหญ่ในไทยมีปัญหา และกว่าโรงงานที่อื่นจะผลิตมาทดแทนได้ก็ยังต้องใช้เวลา 3-6 เดือน ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ตลาดไอทีทั่วโลกในไตรมาส 4 จะมีปัญหาของขาดราว 15-20%" ผู้บริหารเออาร์ไอพีกล่าว

พร้อมกับคาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดไอทีไทยปีหน้า "โน้ตบุ๊ค" จะยังเป็นสินค้าที่ทำรายได้สูงสุดในตลาด แต่ "แทบเล็ต" จะเป็นสินค้าที่มีการเติบโตสูงสุด และทดแทนสัดส่วนการซื้อเครื่องใหม่ในตลาดบางส่วน โดยคาดว่าตลาดไอทีในปีนี้จะสามารถเติบโตได้สูงสุดราว 11% แต่จะเริ่มดีขึ้นในปีหน้า หรือเติบโตได้ราว 14%

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหาร และผู้จัดการทั่วไป บริษัทเดียวกัน เสริมว่า ปีหน้าจะเป็นปีแรกที่ "คอนเทนท์" เกิดอย่างเต็มรูปแบบ เพราะต้นทุนในการผลิตคอนเทนท์ต่ำลง และคาดว่าจะเริ่มเห็นโน้ตบุ๊คในกลุ่มอัลตราบุ๊คทำตลาดรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้โดยเฉพาะในงาน "คอมมาร์ต ไทยแลนด์" ที่มีกำหนดจัดเดือน มี.ค. และคาดว่าจะเป็นงานที่ผู้ค้าทำโปรโมชั่นรุนแรง เพื่อกระตุ้นการขาย และทำยอด

พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมแผนปรับตัวทางธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากการสื่อไอทีในเครือ และเป็นผู้จัดงานคอมมาร์ต เพิ่มบทบาทเป็น "แคมเปญ ออกาไนเซอร์" ช่วยจัดอีเวนท์ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการตลาดของลูกค้า รวมทั้งเพิ่มการจัดอีเวนท์ที่นอกเหนือจากคอมมาร์ตให้มากขึ้น เช่น งานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกอย่างน้อย 1 งานในปีหน้า

นอกจากนี้ยังมีแผนจะลงทุนทำธุรกิจดิจิทัลมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้จากธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่เติบโตลดลง โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมในปี 2555 ราว 25-30 ล้านบาท จากปี 2554 ใช้งบลงทุนราว 10-15 ล้านบาท