นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า หลัง เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในไอบีเอ็มประเทศไทยครบ 1 ปี ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 2-3 เรื่อง จนถึงตอนนี้ถือว่าทำได้เกินคาดหมายเอาไว้

เรื่องแรกคือการรักษาความ เป็น 1 ใน 20 ประเทศของไอบีเอ็มที่มีอัตราการเติบโต (Growth Country) ซึ่งจากการดำเนินงานเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ไอบีเอ็ม ประเทศไทยสามารถสร้างอัตราการเติบโตซึ่งไม่ได้เฉพาะทางด้านรายได้อย่างเดียว แต่หมายถึงการเติบโตรอบด้านจนครองแชมป์ประเทศที่มีอัตราการเติบโตในภูมิภาค อาเซียนได้ติดต่อกัน 3 ไตรมาส ส่วนไตรมาสที่ 4 นั้น ถึงแม้จะยังไม่ประกาศผลแต่ก็ยังคงต้องลุ้นว่าจะรักษาแชมป์ได้หรือไม่ ถึงแม้ไทยจะประสบภัยพิบัติน้ำท่วม แต่สำหรับไอบีเอ็ม ประเทศไทยแล้วมีผลกระทบน้อยมาก

'เกณฑ์การมอบรางวัลนั้น ไอบีเอ็มดูตั้งแต่การเติบโตทางด้านรายได้ การเติบโตทางด้านภาคบริการ รวมถึงความพึงพอใจของลูกค้าด้วย ไม่ได้วัดจากเรื่องรายได้อย่างเดียว'

เรื่องที่ 2คือการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของไอบีเอ็ม ประเทศไทยในระดับพนักงานเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ สามารถนำความรู้ทางด้านธุรกิจ และการเข้าใจความต้องการตลาดและอุตสาหกรรม มาให้บริการรวมถึงโครงการพัฒนาผู้นำของไอบีเอ็ม ที่นำผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานใหญ่เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อถ่ายทอดทักษะและประสบการณ์การบริหารงานระดับสูง การสร้างสรรค์ผู้นำยุคใหม่และการสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานในองค์กร รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจของไอบีเอ็มและผู้บริหารไอบีเอ็มในประเทศนั้นๆ

'ทีมงานของไอบีเอ็มสามารถที่จะพูดเรื่องไอทีให้เป็นภาษา ธุรกิจหรือในอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้มากขึ้น อย่างทีมงานที่สาขาเชียงใหม่ จะมีบุคลากรของไอบีเอ็มเข้าไปอบรมให้กับพันธมิตรและลูกค้าได้ในทุกเรื่อง ซึ่งมีการจัดกิจกรรมแบบนี้อย่างต่อเนื่อง'

เรื่องที่3 การผลักดันโครงการสำคัญๆ เพื่อสร้างสิ่งดีๆ สู่สังคม คืนสู่ประเทศ อย่างโครงการอีเอสซีหรือ Executive Service Corps ที่ผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มเข้ามาทำงานร่วมกับชุมชนทั้งภาครัฐและภาค ประชาคมเพื่อจัดสร้างแผนพัฒนาชุมชนที่ตรงกับความต้องการจริงๆ เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลในอนาคต ในโครงการ Smarter City ที่ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ซึ่งเป็นที่ชื่นชมจากผู้บริหารของไอบีเอ็มที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งเชื่อว่า ปีหน้าอาจจะมีโครงการแบบนี้อีกในประเทศไทยอีก 1 จังหวัด

ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปีหน้าของไอบีเอ็ม ประเทศไทยนั้น จากสิ่งที่ทำมาในปีนี้ทำให้มั่นใจว่า เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งปีหน้าก็จะยังคงเน้นใน 3 เรื่องดังกล่าว แต่จะเป็นลักษณะของการโฟกัสลงไปในแต่ละด้านมากยิ่งขึ้น

'ปีหน้า จะมีการขยายศูนย์ไอบีเอ็มออกไปอีก 2 จังหวัด ที่ชลบุรีกับนครราชสีมา ความสำคัญของการตั้งศูนย์ในภูมิภาคทั้ง 2 แห่งนั้นจะเป็นเรื่องของการสร้างทีมงานจำนวนมาก มากกว่าการลงทุนเรื่องเม็ดเงิน ซึ่งถือว่า ไม่มากนัก'

ส่วนความคืบหน้าของการชักจูงไอบีเอ็ม ให้ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการวิเคราะห์ ข้อมูลทางธุรกิจ (Business Analytics หรือ BA) ว่าในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริหารของไอบีเอ็ม ซึ่งไทยถือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่จะไปแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่สนใจในโครงการดังกล่าวด้วยเหมือนกัน

สำหรับเทรนด์เทคโนโลยีด้านไอทีระดับองค์กรที่จะมาแรงในปีหน้าประกอบ ไปด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ โซเชียลบิสซิเนส โมบายล์คอมพิวติ้ง และคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจหรือบีเอนั้น ถือว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่มาแรงมาก บริษัทต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจที่จะลงทุน

'บีเอ เป็นเทรนด์ที่มาแรงไม่ต่ำกว่า 10 ปี'

จากความสนใจในเรื่องบีเอ ทำให้คาดว่าจะมีความต้องการบุคลากรในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 3หมื่นคน ซึ่งส่วนตัวตั้งใจที่จะให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตบุคลากรทางด้านบีเอในอนาคต จึงได้มีการเชิญชวนผู้บริหารของไอบีเอ็มทางด้านนี้เข้ามาพูดคุยกับ มหาวิทยาลัยของไทยเพื่อส่งอาจารย์ที่มีศักยภาพเข้าไปอบรมความรู้เรื่องนี้ ที่สำนักงานใหญ่ นครนิวยอร์ก

'เมื่อเร็วๆ นี้ไอบีเอ็มได้ส่งทีมงานเข้ามาพูดคุยกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแล้ว 2-3 แห่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยของไทยก็ให้ความสนใจ โดยตั้งใจจะให้ประเทศไทยสามารถผลิตบุคลากรทางด้านนี้ป้อนเข้าสู่ตลาดให้ได้ 1 หมื่นคนต่อปี แต่เรื่องนี้คงจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการอย่างน้อยๆ ต้อง 2-3 ปีขึ้นไป'