บริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่จะช่วยผลักดันให้เกิด “คลื่นลูกใหม่” ของการใช้จ่ายด้านไอซีที ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มผันผวนตลอดปี 2555 แต่บริษัทวิจัยแถวหน้าอย่างไอดีซียัง เชื่อว่าตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นจะเติบโตต่อไป ซึ่งเปิดเผยในรายงานฉบับใหม่ “IDC Asia/Pacific (excluding Japan) ICT 2012 Top 10 Predictions"

นายเคลาส์ มอเทนเซ็น หัวหน้าฝ่ายงานวิจัยด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ไอดีซีตระหนัก ดีถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2555 แต่ไม่เชื่อว่าการใช้จ่ายด้านไอซีทีในเอเชียแปซิฟิกจะได้รับผลกระทบมากนัก โดยคาดว่าแม้สภาพเศรษฐกิจโลกปีหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่องค์กรต่างๆ ในภาคธุรกิจจะยังเดินหน้าใช้จ่ายด้านไอซีทีอย่างค่อนข้างระมัดระวังต่อไป

ทั้ง นี้ ปี 2555 ปริมาณการใช้จ่ายด้านไอซีทีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นมีแนวโน้ม ขึ้นสูงถึง 6.53 แสนล้านดอลลาร์ (19.590 ล้านล้านบาท) หรือขยายตัวขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายด้านไอซีทีปี 2553 แต่อัตราการเติบโตจะไม่สูงเท่าอัตราการเติบโตปี 2553 และคาดว่าอัตราการเติบโตจะลดลงในช่วง 4-5 ปีหลังจากนี้ แต่ยังอยู่ระดับสูงกว่า 9%

ข้อมูลจากการศึกษา รวมทั้งการระดมสมองของนักวิเคราะห์ประจำประเทศและประจำภูมิภาค ไอดีซีคาดการณ์แนวโน้มสำคัญ 10 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดไอซีที คือ

1. เพื่อเกิดใหม่ในตลาดเกิดใหม่ รูปแบบการทำธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่จะขับเคลื่อน คลื่นลูกใหม่ของการใช้จ่ายด้านไอซีทีปี 2555 โดยบริษัทขนาดใหญ่ในรูปแบบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสภาพตลาดในปัจจุบันเกิด ขึ้น ซึ่งเรียกรวมเป็น “บริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่” กระหายจะเติบโตและขยายขอบเขตของธุรกิจออกไปในพื้นที่ต่างๆ โดยมีดีเอ็นเอที่ต่างออกไปจากองค์กรที่มาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างสิ้นเชิง บริษัทขนาดใหญ่สัญชาติเอเชียที่เกิดใหม่จะช่วยผลักดันให้เกิด “คลื่นลูกใหม่” ของการใช้จ่ายด้านไอซีที ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น โมบิลิตี้ คลาวด์ การวิเคราะห์เชิงธุรกิจและโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

2. คุณค่าของความมีหนึ่งเดียว : ธุรกิจในเอเชียจะเห็นคุณค่าของการมีสินค้าไอทีเพียงรูปแบบเดียว แต่จะสร้างรูปแบบการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนให้ผู้ขายหรือผู้ให้ บริการได้

3. ทำให้ 2 + 2 = 1 : การให้บริการคลาวด์ที่การจัดรวมกับการบริการเป็นกลุ่มจะนำไปสู่ “เอาท์ซอสซิ่ง 3.0” ตั้งแต่ปี 2555 ผู้ให้บริการคลาวด์จะเริ่มจัดหาเครื่องมือบริหารจัดการที่รวมการจัดการบริ การคลาวด์ในรูปแบบต่างๆ เข้าด้วยกันได้ หรือการจัดการรวมเป็นกลุ่ม

4. “หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยข้อมูล” จะทำให้ “Big Data” เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจมากขึ้น ไอดีซีเชื่อ ว่า จากการที่ตัวแปรและแบบจำลองสำหรับการวิเคราะห์บิ๊กดาต้าล้วนแล้วเป็นสิ่ง ใหม่ และต้องใช้ทักษะความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลระดับสูงจะนำไปสู่การเกิดตำแหน่ง งานใหม่ ชื่อ “Chief Data Scientist” หรือ “หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยข้อมูล” ขึ้นเพื่อช่วยให้องค์กรวางกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับบิ๊กดาต้าได้

5. เวิร์คโหลดแบบใหม่บนคลาวด์จะเกิดขึ้น : นำโดยออโตเมชั่น ทำให้ขั้นตอนการทำงานด้านไอทีมีมาตรฐานเดียวกัน และทำงานได้อัตโนมัติ ซีอีโอจะให้ความสำคัญลงทุนเรื่องการปรับเข้าสู่มาตรฐานและออโตเมชั่น 6. ผู้รวบรวมไว้ซึ่งแอพพลิเคชั่น : ทีมเสาะหานวัตกรรมใหม่ที่ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมตั้งขึ้นเพื่อส่งคอน เทนต์ไปสู่บ้านผู้ใช้ ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมที่มองการณ์ไกลจะสร้าง “ทีมเสาะหานวัตกรรมใหม่” ขึ้นมาเพื่อค้นหาแอพพลิเคชั่นและคอนเทนต์ที่เหมาะสม เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ใช้ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และฮอตสปอตต่างๆ

7.“การ คาดเดาปัญหาล่วงหน้าได้” จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกของแพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์ 8. บริษัทต่างๆ จะกลับไปสู่การใช้ไอทีแบบมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ไอดีซีเชื่อว่าวิธีการแบบมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าจะเป็นส่วนสำคัญของการใช้ไอทีปี 2558

9. การผสมผสานระหว่างอุปกรณ์พกพาและไอทีจะกรุยทางไปสู่เวิร์คสเปซรูปแบบใหม่ สอดคล้องกับโมบิลิตี้ คลาวด์ และดาต้าเซอร์วิส ในปี 2555 การอนุญาตให้พนักงานในองค์กร เริ่มนำอุปกรณ์ไอทีเข้ามาใช้ในการทำงานประจำวันมากขึ้น หรือ Consumerization จะสร้างความต้องการที่จะมีสภาพแวดล้อมการทำงานใหม่ๆ ขึ้น

10. กลายเป็น “ชนชั้นกลาง” จากสมาร์ทโฟนที่มีราคาต่ำกว่า 3,000 บาทจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญ ทำให้ผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่จะมีอาการ “เสพติดแอพพลิเคชั่นบนมือถือ” แบบเดียวตลาดที่พัฒนามาก่อน